วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556


สีที่แตกต่าง
พ.อ.ดร.ภูมิรัตน์   ลือศิริ

สีเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างหนึ่งในการดำรงชีวิตมนุษย์ ซึ่งมนุษย์รู้จักนำสีมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ในอดีตกาล มนุษย์ได้ค้นพบสีจากแหล่งต่างๆ ทั้งจากพืช สัตว์ ดิน และแร่ธาตุนานาชนิด จากการค้นพบสีเหล่านั้น มนุษย์ได้นำเอาสีต่างๆ มาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง โดยนำมาระบายลงบนสิ่งของภาชนะเครื่องใช้ หรือระบายลงบนรูปปั้น รูปแกะสลัก เพื่อให้รูปเด่นชัดขึ้น มีความเหมือนจริงมากขึ้น รวมไปถึงการใช้สีวาดลงไปบนผนังถ้ำ หน้าผา ก้อนหิน เพื่อใช้ถ่ายทอดเรื่องราว และทำให้เกิดความรู้สึกถึงพลังอำนาจที่มีอยู่เหนือสิ่งต่างๆ ทั้งปวง
เนื่องจากสีเป็นองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึก อารมณ์ และจิตใจของมนุษ์ มากกว่าองค์ประกอบอื่นๆ ในชีวิตของมนุษย์จึงมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสีต่างๆ อย่างแยกแยะไม่ออก โดยที่สีจะให้ประโยชน์ในด้านต่างๆ อาทิ 1. ใช้ในการจำแนกสิ่งต่างๆ เพื่อให้เห็นชัดเจน 2. ใช้ในการจัดองค์ประกอบของสิ่งต่างๆ เพื่อให้เกิดความสวยงาม กลมกลืน เช่น การแต่งกาย การจัดตกแต่งบ้าน 3. ใช้ในการจัดกลุ่ม พวก คณะ ด้วยการใช้สีต่างๆ เช่น คณะสี เครื่องแบบต่างๆ 4. ใช้ในการสื่อความหมาย เป็นสัญลักษณ์ หรือใช้บอกเล่าเรื่องราว 5. ใช้ในการสร้างสรรค์งานศิลปะ เพื่อให้เกิดความสวยงาม สร้างบรรยากาศ สมจริงและน่าสนใจ และ 6. เป็นองค์ประกอบในการมองเห็นสิ่งต่างๆ ของมนุษย์
ย้อนไปในอดีตครั้งเรายังเด็กๆ กัน ยังจำได้ไหมที่คุณครูเคยพร่ำสอนว่าแม่สี (Primary colors) นั้นมี 3 สี คือ สีแดง สีเหลือง และสีน้ำเงิน และเมื่อไรที่เรานำ 3 สีนี้มาใช้งาน เราจะค้นพบสีใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย สามสีนี้แหละเป็นตัวยืนในการผสมผสานให้เกิดสีที่หลากหลาย เพื่อแต่งแต้มสีสันโลกใบกลมใบนี้ให้ดูสดใสงดงามอยู่เสมอ ซึ่งหากจะมองความหมายของแม่สีต่างๆ ในเชิงจิตวิทยาแล้ว จะพบว่ามีความหมายที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดดังนี้
สีแดง (Red) ให้ความรู้สึกร้อน รุนแรง กระตุ้น ท้าทาย เคลื่อนไหว ตื่นเต้น เร้าใจ มีพลัง ความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่ง ความรัก ความสำคัญ และอันตราย
สีเหลือง (Yellow) ให้ความรู้สึกแจ่มใส ความสดใส ความร่าเริง ความเบิกบานสดชื่น ชีวิตใหม่ ความสด ใหม่ ความสุกสว่าง การแผ่กระจาย และอำนาจบารมี
สีน้ำเงิน (Blue) ให้ความรู้สึกสงบ สุขุม สุภาพ หนักแน่น เคร่งขรึม เอาการเอางาน ละเอียด รอบคอบ สง่างาม มีศักดิ์ศรี สูงศักดิ์ เป็นระเบียบ และถ่อมตน
ซึ่งเมื่อวันเวลาผ่านพ้นไป สีที่พวกเราเคยใช้สร้างสรรค์ให้โลกใบนี้ดูสวยงามในวัยเด็ก กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งแยกคนไทยออกเป็นฝักเป็นฝ่าย ดังเช่น กำแพงเบอร์ลิน (Berlin Wall) ที่กั้นเยอรมันตะวันตก ออกจากเยอรมนีตะวันออก ตั้งแต่วันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ.2504 อยู่นานถึง 28 ปี ก่อนจะพังทลายลงด้วยพลังแห่งความสมัครสมานสามัคคีของชาวเยอรมันทั้งสองฝั่ง ในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 ซึ่งทุกวันนี้กำแพงดังกล่าว ยังเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมแห่งสงครามของความขัดแย้งที่ล้างผลาญชีวิตชาวเยอรมันกันเอง มาตราบจนทุกวันนี้
จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ใครเล่าจะคาดเดาได้ว่า แม่สีทั้ง 3 ที่คอยผสมกลมกลืน สร้างสรรค์ความสวยสดใสให้กับโลกใบนี้อย่างหลากหลาย จะถูกคนบางกลุ่ม บางพวกที่ขัดแย้งกัน นำไปใช้ด้วยเหตุผลส่วนตน แม่สีทั้ง 3 ที่เคยผสมกลมเกลียวกัน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสวยงาม จึงจำต้องแยกจากกัน เพราะความคิดและอุดมการณ์ของคนบางกลุ่มเพียงเท่านั้น สีที่เคยผสมผสานกันได้อย่างลงตัว กลับกลายเป็นสีที่ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวของตัวเอง เกิดการแบ่งแยกที่ทำให้แตกต่าง เพียงเพราะผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัวกัน ซึ่งจริงๆ แล้วแม่สีทั้ง3 ไม่ได้อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเกมส์ของบุคคลเหล่านั้นเลย แต่ในเมื่อพวกเขานำแม่สีไปใช้แล้ว จะทำอย่างไรได้เล่า จะให้เราเลิกใช้แม่สีเหล่านั้นเหรอ จะให้เราเลือกสีใดสีหนึ่งเหรอ หรือจะให้เราทิ้งสีพวกนั้นไป ไม่นำมาใช้อีกเลยเหรอ
ซึ่งความเป็นจริงแล้ว หากโลกใบนี้ขาดแม่สีทั้ง 3 ไป ความงดงามจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ดังนั้น ทางออกของเรื่องนี้ มีเพียงแค่การทำความเข้าใจในความเป็นจริง ไม่เลือกข้างเลือกฝ่ายกับสีใดสีหนึ่ง แต่ค่อยๆ รวมแต่ละแม่สีเหล่านั้นมานั่งคุยกันว่า สิ่งที่ทำกันอยู่นั้น มันสร้างสรรค์ประโยชน์อะไรให้กับบ้านนี้เมืองนี้บ้าง ต้องการแต่งแต้มประเทศไทยให้มีเพียงสีเดียวเท่านั้นเหรอ เพียงแค่คนวาดภาพไม่กี่คนที่หลงเข้าไปอยู่ในกระบวนการของ ศักดิ์สี หลงอยู่กับสิ่งยั่วยุ ความอยากมี อยากได้ อยากเป็น จึงเกิดความแตกต่าง ซึ่งสิ่งเหล่านั้นใช่ว่าจิตรกรอีกนับหลายล้านคนในชาตินี้ เขาจะเห็นด้วย
และหากมองย้อนไปในอดีตครั้งที่ เซอร์ไอแซก นิวตัน (Sir Isac Newton) ได้ค้นพบกฏการสะท้อนและการหักเหของแสง โดยใช้แท่งปริซึม (Prism) ซึ่งมีด้านที่รับแสง 3 ด้าน เพื่อให้แสงผ่าน สิ่งที่เขาค้นพบก็คือ แสงสว่างของดวงอาทิตย์ที่ให้ความสว่างไสวแก่โลกใบนี้ ประกอบไปด้วยแสงสีถึง 7 สี ได้แก่ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด และแดง ตามลำดับ และเมื่อนำแสงสีทั้ง 7 สีมารวมกัน ก็จะกลายเป็นแสงสีขาวสดใส ที่ให้ความสว่างไสวแก่โลกใบนี้เช่นเดิม
ดังนั้น เราทุกคนที่เป็นพี่น้องร่วมชาติไทยด้วยกันพึงตระหนักไว้เถิดว่า ชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก การจะหักเผ่าพันธ์หรือแยกบ้านแบ่งเมือง ที่บรรพชนรุ่นก่อนเอาเลือดเอาเนื้อ และชีวิต ปูทางให้อนุชนรุ่นหลังได้เหยียบย่ำเถ้าธุลีท่านทั้งหลายเหล่านั้น ที่ยอมพลีกายถวายชีวิตปกป้องให้ยั่งยืนสืบมาจนบัดนี้ คงเป็นไปได้ไม่ง่ายนัก เพราะยังมีพี่น้องเลือดไทยอีกมากมาย ซึ่งมีสีเดียวกัน คือ สีแห่งความเป็นไท ไทยผู้ไม่เคยยอมแพ้ให้กับมันผู้ใดที่จะคิดมาปล้นอธิปไตย หรือป่วนความสงบสุขของเผ่าพงษ์ ที่ยังคอยเฝ้าดูการกระทำต่างๆ ของกลุ่มคนเหล่านั้น และยังหวังว่า ปริซึม (Prism) ที่เป็นหลักของชาติบ้านเมืองทั้ง 3 ด้าน อันประกอบด้วยความสำนึกใน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ยังจะสามารถรวมสีต่างในชาติไทย ให้เป็นแสงสว่างนำทางพารัฐนาวาชาติไทย ให้ก้าวข้ามผ่านพ้นความทุกข์ สู่ความสุขที่ยั่งยืน เช่นที่เคยเป็นมาในอดีตกาล ครั้งยุคของบรรพชนเผ่าไทยเคยกระทำไว้ให้เห็นเป็นตัวอย่างของความรักความสามัคคี นั้นบ่งบอกถึงความสำนึกในหน้าที่ที่ปวงชนชาวไทย จะพึงมีและพึงกระทำให้กับบ้านนี้เมืองนี้ ฉะนั้น พี่น้องไทยเอย จงอย่ามั่วนั่งเฉยรอคอยโชคชะตา หรือให้เทวดาองค์ใดมาช่วยเลย เรานี้แหละจงรวมพลังกันสร้างสรรค์สุวรรณภูมิถิ่นเกิดถิ่นอาศัย ให้ฟูเฟื่องเลืองลือ หรือจะปล่อยให้เสื่อมถอยไปมากกว่านี้ เพราะมิเช่นนั้นแล้ว สีสุดท้ายที่เผ่าพงษ์ไทยทั้งหลายเราจะได้เห็น จะเป็นแค่ "สีดำ" แห่งความโศกศัลย์เพียงสีเดียว...